วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แนวโน้มตลาดสินค้าแบรนเนมในจีน ประจำปี 2559

กระแสแบรนด์เนมปิดร้านในจีน

     หลังจาก Louis Vuitton ปิดสาขา 6 แห่ง (และเปิดใหม่ 2 แห่ง) ในจีนในปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2559 Louis Vuitton ยืนยันปิดอีก 2 สาขาที่นครเซี่ยงไฮ้และมณฑลซานซี ซึ่งผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของ LVMH (Louis Vuitton Moët Hennessy) ผู้จัดจำหน่ายสินค้ารายใหญ่ที่สุดของโลกระบุว่า อุปสงค์ในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊าชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของ LV ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) ลดลงไปอีก
     ตามรายงานตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยจีนประจำปี 2558 ของ Bain & Company บริษัทวิจัยการตลาดพบว่า นอกจาก LV แล้ว ปี 2558 GUCCI ปิดสาขา 5 แห่งในจีน,Burberry ปิดสาขา 2 แห่งในจีน,และ Prada ปิดสาขา 4 แห่งในจีน,อย่างไรก็ดี LV ย้ำว่า การปิดสาขาบางแห่งไม่ได้หมายความว่า LV จะระงับการลงทุนและการขยายธุรกิจในจีน แต่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาดและปรับปรุงโครงสร้างสาขาร้านที่มีอยู่


ชาวจีนซื้อสินค้าแบรนด์เนมในจีนน้อยลง

     ตามรายงานของ Bain & Company ในปี 2558 ชาวจีนซื้อสินค้าแบรนด์เนมในจีนมีมูลค่า 113,000 ล้านหยวน ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับปี 2557 และชาวจีนซื้อสินค้าแบรนด์เนมในฮ่องกงและมาเก๊า ลดลงร้อยละ 25 
     ประเภทสินค้าหลักที่ยอดจำหน่ายในจีนลดลงได้แก่ นาฬิกาข้อมือ เสื้อผ้าผู้ชาย และเครื่องหนัง ทั้งนี้ เนื่องจากราคาสินค้าแบรนด์เนมในต่างประเทศที่ถูกกว่า โดยราคาแอลกอฮอล์ถูกกว่าร้อยละ 64 - 85 ราคานาฬิกาข้อมือถูกกว่าร้อยละ 33 - 83 ส่วนราคาเสื้อผ้า น้ำหอม กระเป๋า เครื่องสำอาง และรองเท้าหนังราคาถูกกว่าร้อยละ 30 นอกจากนี้ การเติบโตของการท่องเที่ยวต่างประเทศและผู้บริโภคจีนที่มีความเชื่อมั่นต่อเว็บไซต์ B2C ในต่างประเทศ ทำให้ชาวจีนนิยมซื้อสินค้าแบรนด์เนมในต่างประเทศมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ยอดจำหน่ายในจีนลดลง

ยอดชาวจีนซื้อสินค้าแบรนด์เนมในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น

     สถิติจากกรมการท่องเที่ยวจีนชี้ว่า ปี 2558 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเที่ยวต่างประเทศถึง 120 ล้านคน และมีการจับจ่ายเฉลี่ยมากกว่า 10,000 หยวนต่อหัว ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวและปริมาณค่าใช้จ่ายติดอันดับแรกของโลกทั้งคู่
     ด้านการบริโภคสินค้าหรู ตามรายของ Fortune Character Research Center สถาบันวิจัยตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยในนครเซี่ยงไฮ้ พบว่า ปี 2558 ชาวจีนซื้อสินค้าแบรนด์เนมในตลาดโลกมีมูลค่าสูงถึง 116,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปี 2557 โดยซื้อจากต่างประเทศมีมูลค่า 91,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สัดส่วนร้อยละ 78 ทั้งนี้ ชาวจีนซื้อสินค้าแบรนด์เนมผ่านช่องทาง E-Commerce ข้ามชาติและเว็บไซต์ B2C ในต่างประเทศถึงร้อยละ 12 ของการซื้อสินค้าแบรนด์เนมทั้งหมด



...ในปี 2558 ชาวจีนซื้อสินค้าแบรนด์เนมที่ญี่ปุ่นเติบโตร้อยละ 200 เมื่อเทียบกับปี 2557...
      เนื่องจากเงินเยนอ่อนค่า ราคาสินค้าจึงถูกกว่าในจีน นอกจากญี่ปุ่นแล้ว เกาหลีใต้ ยุโรป และออสเตรเลียก็เป็นปลายทางการท่องเที่ยวที่ชาวจีนนิยมซื้อสินค้าแบรนด์เนม

นอกจากนี้ ชาวจีนวัย 25-40 ปีก็มีความนิยมซื้อของที่ต่างประเทศไม่เหมือนกัน
ชาวจีนวัย 25-30 ปี     นิยมซื้อรองเท้า เสื้อผ้า และเครื่องสำอาง
ชาวจีนวัย 30-35 ปี     นิยมซื้อกระเป๋าและผลิตภัณฑ์ดิจิตอล
ชาวจีนวัย 35-40 ปี     นิยมซื้อเครื่องประดับเพชรพลอย และมีความสนใจต่อสินค้าบำรุงสุขภาพสูง


แนวโน้มตลาดสินค้าแบรนเนมในจีนประจำปี 2559

- เนื่องจากยอดจำหน่ายน้อยลง คาดว่าแบรนด์เนมในจีนส่วนใหญ่ยังคงลดปริมาณสาขาและปรับโครงสร้างสาขาในจีนต่อไป ซึ่งแทนที่จะเร่งฝีเท้าในการเปิดสาขาใหม่ในจีน แบรนด์เนมต่างๆ จะหันมาสนใจกับสาขาใหญ่ที่มีอยู่และมีที่ตั้งที่ดี เพื่อเพิ่มบทบาทของร้านที่มีอยู่ ให้ลูกค้ามีโอกาสสัมผัสสินค้าและไลฟ์สไตล์ รวมทั้งการให้บริการลูกค้า

- ปริมาณชาวจีนที่ถูกหล่อหลอมมีความเชื่อถือในแบรนด์เนมและชื่นชมไลฟ์สไตล์ที่ดูดีมีระดับจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในจีน ซึ่งการตอบสนองความต้องการแฟชั่นคนรุ่นใหม่ของจีนและการออกแบบสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในตลาดจีน
- การค้าสินค้าแบรนด์เนมโดยผ่านช่องทาง E-Commerce ในทั่วโลกจะได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วในปี 2559 โดยเฉพาะเว็บไซต์ทางการของแบรนด์เนมจะเป็นเวที E-Commerce ที่สำคัญที่สุด นอกจากนี้ มีแบรนด์เนมเริ่มบุกตลาดออนไลน์ ซึ่ง LV กำลังพิจารณาเปิดร้านจำหน่ายสินค้าออนไลน์ของตนในเดือน เม.ย. 2559 หลังจากต่อต้านการละเมิดเครื่องหมายการค้าและสินค้าปลอมในตลาดจีนมานาน

- งบประมาณในการโฆษณาสินค้าผ่านช่องทางดิจิตอล (เช่น เว็บไซต์, APP, Wechat, Weibo) สัดส่วนร้อยละ 35 ของงบประมาณการโฆษณาสินค้าทั้งหมดและจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งผลสำรวจชี้ว่า ผู้ให้สัมภาษณ์ร้อยละ 80 รับและเรียนรู้ข้อมูลสินค้าแบรนด์เนมจากเว็บไซต์หรือ APP และผู้ให้สัมภาษณ์ร้อยละ 60 รับและเรียนรู้ข้อมูลสินค้าแบรนด์เนมจาก Social Network เช่น Wechat และ Weibo

- รัฐบาลจีนมีนโยบายควบคุมการซื้อสินค้าแบรนด์เนมที่ต่างประเทศที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้ชาวจีนหันกลับมาใช้จ่ายในประเทศจีนมากขึ้น ที่ผ่านมาศุลกากรจีนมีการตรวจสอบกระเป๋าของชาวจีนที่เดินทางกลับจากแหล่งช้อปปิ้งเข้มงวดมากขึ้น เช่น ญี่ปุ่นและฮ่องกง รวมทั้งปฏิรูปวิธีการเก็บภาษีสำหรับสินค้านำเข้าโดยผ่านช่องทาง E-Commerce ข้ามชาติ (บทความที่เกี่ยวข้อง)



     อย่างไรก็ดี แม้ว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง แต่กลุ่มชนชั้นกลางจีนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพในการบริโภคสูง ซึ่ง Boston Consulting Group คาดว่า ครอบครัวชาวจีนที่มีรายได้ 12,000 - 22,000 หยวนต่อเดือน จะเพิ่มขึ้นถึง 100 ล้านคนใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดตลาดบริโภค มูลค่าถึง 2 ล้านล้านหยวน ทั้งนี้ การปรับกลยุทธ์การตลาดของแบรนด์เนมในจีนก็ถือเป็นประสบการณ์สำหรับผู้ประกอบการไทยในจีนหรือผู้ประกอบการไทยที่สนใจบุกตลาดจีน เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาด รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ตลอดจนการปรับปรุงนโยบายของรัฐบาลจีนได้อย่างทันท่วงที และเพื่อประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจในจีนต่อไป





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น